วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

The Silent Way


วิธีสอนแบบเงียบ

       วิธีสอนแบบเงียบ   เป็นวิธีสอนที่ริเริ่มโดย Caleb Gattegno ในปี ค.ศ. 1963 วิธีสอนแบบนี้มิได้เกิดจากวิธีสอนแบบความรู้ความเข้าใจ แต่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น หลักการพื้นฐานที่ว่า "การสอนเป็นรองการเรียน" เป็นหลักการที่เน้นความรู้ความเข้าใจ เน้นให้ผู้เรียนคิดเองใช้ความสามารถของตนเองครูเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ผู้เรียนจะต้องพยายามนำสิ่งที่ตนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และต้องจดจ่ออยู่กับบทเรียนตลอดเวลา ในระยะเริ่มเรียนผู้สอนจะสอนเสียงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของภาษาทุกภาษา ผู้สอนจะใช้แผนภูมิเสียงและสีมาช่วยในการเรียนการสอนและอาศัยความรู้เกี่ยวกับ เสียงในภาษาแม่มาเชื่อมโยงกับเสียงในภาษาใหม่ที่เรียน และยังใช้ความรู้เกี่ยวกับสีมาช่วยในการเรียนคำศัพท์ตลอดจนการอ่านออกเสียงคำเหล่านั้น จากนั้นผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ที่ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังโครงสร้างของภาษาสถานการณ์จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายด้วย ส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์หนึ่งจะเน้นการสอนโครงสร้างเดียวเท่านั้น ผู้สอนจะเป็นฝ่ายเงียบ แต่ขณะเดียวกันเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้คิด ผู้สอนจะพูดเมื่อทำเป็นต้องชี้ทางในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียนส่วนผู้เรียนนั้นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันและกัน

       การสอนแบบเงียบนี้มักจะไม่มีหลักสูตรเป็นแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอนผู้สอนจะเริ่มสอนจากสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้แล้ว และสอนจากโครงสร้างหนึ่งไปอีกโครงสร้างหนึ่งต่อ ๆ ไปเมื่อผู้เรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น โครงสร้างเดิมจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง หลักสูตรจึงมักพัฒนาไปตามความต้องการของผู้เรียน โดยพัฒนาทักษะทั้ง 4 ผู้สอนจะประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้ตลอดเวลาเนื่องจากการสอนเป็นรองการเรียน ผู้สอนต้องตอบสนองต่อความต้องการที่เกิดขึ้นทันทีของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมของผู้เรียน และอาจประเมินได้จากความสามารถของผู้เรียนในการถ่ายโอนสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้นผู้สอนจึงประเมินผลการเรียนจากความก้าวหน้าของผู้เรียนมากกว่าความถูกต้องเป็นการเน้นการเรียนรู้ตามความสามารถของแต่ละบุคคล และเนื่องจากผู้สอนเห็นว่า ความผิดพลาดของผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ข้อผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ผู้สอนจึงควรใช้ข้อผิดพลาดนั้นเป็นพื้นฐานในการตัดสินว่า บทเรียนต่อไปควรจะเป็นอย่างไรและพยายามให้ผู้เรียนแก้ไขก็ผิดเหล่านั้นด้วยตนเอง โดยให้หัดฟังเปรียบเทียบสิ่งที่ตนพูดกับบรรทัดฐานภายในที่ตนเองพัฒนาขึ้น เมื่อผู้เรียนไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเองแล้วผู้สอนจึงจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องในที่สุด

        การออกแบบการเรียนการสอนจะให้นักเรียนรู้จักโครงสร้างของภาษาและคำ จุดสำคัญของวิธีนี้คือครูจะเงียบซึ่งโดยปกติแล้ว ครูจะแนะนำศัพท์หรือประโยคใหม่แล้วให้ผู้เรียนฝึกร่วมกัน โดยที่ครูไม่เข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาดเพราะมีความเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญถ้าผู้เรียนรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร และรับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่จะส่งผลต่อการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน

วิดีโอศึกษาเพิ่มเติม
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น