วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

Total Physical Response (TPR)

วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ( Total Physical Response Method ) 

         การสอนภาษาโดยการใช้ท่าทาง โดยให้ผู้เรียนฟังคำสั่งจากครูแล้วผู้เรียนทำตาม เป็นการประสานการฟังกับการใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นการตอบรับให้ทำตามโดยผู้เรียนไม่ต้องพูด  แนวการสอนแบบนี้ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี

Main Characteristics :

    1. ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ "กำกับ" และผู้เรียนจะทำหน้าที่เป็นผู้ "แสดง"
    2. เน้นทักษะการฟังและท่าทาง
    3. ใช้ประโยคคำสั่ง และคำถาม
    4. ในระหว่างการเรียนครูจะต้องสร้างบรรยากาศใหเสนุกสนาน อาจจะมีมุขตลก ขำๆ
    5. นักเรียนจะไม่ถูกบังคับให้พูดหากยังไม่พร้อม
    6. เน้น ไวยากรณ์ คำศัพท์ และ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร

Teaching Steps:

    1. ครูจะออกคำสั่งเป็นภาษาเป้าหมาย และแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
    2. หาอาสาสมัคร มาแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
    3. ครูให้คำสั่งใหม่ ๆ
    4. ครูออกคำสั่งใหม่ที่ผู้เรียนไม่เคยได้ยินมาก่อน
    5. ครูเขียนคำสั่งนั้นบนกระดาน

 Teaching Techniques:

    1. ใช้คำสั่ง และแสดงตัวอย่างให้ดู
    2. สลับบทบาท
    3. คำสั่งที่ใช้ต้องมีลำดับขั้นตอน

วิดีโอสำหรับศึกษาเพิ่มเติม




Desuggestopedia


การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) 

         การสอนแบบชักชวนพัฒนาขึ้นมา โดยนักจิตวิทยาการศึกษาชาวบูลกาเรีย ชื่อ Georgi Lozanov วิธีสอนนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าสมองซีกกขวาของมนุษย์พัฒนาได้ดีจากการใช้เทคนิค "ชักชวน" (suggestion) ดังนั้นsuggestopedia จึงเป็นวิธีที่ครูต้องมีทักษะ ในการร้องเพลงแสดงท่าทาง และรู้เทคนิคการบำบัดทางจิตวิทยา (psychotherapeutic techniques) วิธีการสอนจะใช้เทคนิคการออกกำลังกาย เพื่อขจัดความวิตกกังวลที่เป็นเหตุให้สะกัดกั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนกิจกรรมต่างๆดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ดนตรี รูปภาพ (visual image) บทสนทนาต่าง ๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ภายใต้บรรยากาศที่สบายไม่เป็นทางการไม่มีการแก้ไข ข้อผิดพลาดของผู้เรียน
        วิธีสอนแบบนี้เน้นกิจกรรมการฟัง ซึ่งก็คือ ผู้สอนจะใช้ภาษาสนทนา ที่มีคำแปลเป็นภาษาถิ่นรวมทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์จากบทสนทนาไว้ด้านหนึ่งด้วย ผู้สอนจะอ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟัง 3 ครั้ง ในครั้งแรก ผู้เรียนฟังบทสนทนาที่ครูอ่านให้ฟังโดยอ่านคำแปลไปด้วย ในการอ่านครั้งที่สองผู้เรียนอาจดูบทเรียนไปด้วย และจดรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ในการอ่านครั้งที่สามนั้น ผู้อ่านจะเปิดเพลงคลาสสิกไปพร้อม ๆ กัน ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้วางหนังสือ และเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย จะหลับตาฟัง หรือจะหยิบบทเรียนขึ้นมาอ่านตามก็ได้ ในขั้นต่อไปอาจให้ผู้เรียนเล่นเกมทางภาษา การเล่นละครสั้น การร้องเพลง การถามตอบเพื่อให้ภาษาในการสื่อสารการจัดกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มผู้เรียนจะไม่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นรายบุคคลกิจกรรมทุกกิจกรรมต้องเสริมให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และรู้สึกว่าไม่ถูกบังคับให้ทำในระยะเริ่มแรกผู้สอนจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดทันที แต่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาสอนในวันต่อไป

วิดีโอแสดงตัวอย่างการสอน


The Silent Way


วิธีสอนแบบเงียบ

       วิธีสอนแบบเงียบ   เป็นวิธีสอนที่ริเริ่มโดย Caleb Gattegno ในปี ค.ศ. 1963 วิธีสอนแบบนี้มิได้เกิดจากวิธีสอนแบบความรู้ความเข้าใจ แต่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น หลักการพื้นฐานที่ว่า "การสอนเป็นรองการเรียน" เป็นหลักการที่เน้นความรู้ความเข้าใจ เน้นให้ผู้เรียนคิดเองใช้ความสามารถของตนเองครูเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ผู้เรียนจะต้องพยายามนำสิ่งที่ตนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และต้องจดจ่ออยู่กับบทเรียนตลอดเวลา ในระยะเริ่มเรียนผู้สอนจะสอนเสียงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของภาษาทุกภาษา ผู้สอนจะใช้แผนภูมิเสียงและสีมาช่วยในการเรียนการสอนและอาศัยความรู้เกี่ยวกับ เสียงในภาษาแม่มาเชื่อมโยงกับเสียงในภาษาใหม่ที่เรียน และยังใช้ความรู้เกี่ยวกับสีมาช่วยในการเรียนคำศัพท์ตลอดจนการอ่านออกเสียงคำเหล่านั้น จากนั้นผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ที่ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังโครงสร้างของภาษาสถานการณ์จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายด้วย ส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์หนึ่งจะเน้นการสอนโครงสร้างเดียวเท่านั้น ผู้สอนจะเป็นฝ่ายเงียบ แต่ขณะเดียวกันเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้คิด ผู้สอนจะพูดเมื่อทำเป็นต้องชี้ทางในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียนส่วนผู้เรียนนั้นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันและกัน

       การสอนแบบเงียบนี้มักจะไม่มีหลักสูตรเป็นแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอนผู้สอนจะเริ่มสอนจากสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้แล้ว และสอนจากโครงสร้างหนึ่งไปอีกโครงสร้างหนึ่งต่อ ๆ ไปเมื่อผู้เรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น โครงสร้างเดิมจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง หลักสูตรจึงมักพัฒนาไปตามความต้องการของผู้เรียน โดยพัฒนาทักษะทั้ง 4 ผู้สอนจะประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้ตลอดเวลาเนื่องจากการสอนเป็นรองการเรียน ผู้สอนต้องตอบสนองต่อความต้องการที่เกิดขึ้นทันทีของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมของผู้เรียน และอาจประเมินได้จากความสามารถของผู้เรียนในการถ่ายโอนสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้นผู้สอนจึงประเมินผลการเรียนจากความก้าวหน้าของผู้เรียนมากกว่าความถูกต้องเป็นการเน้นการเรียนรู้ตามความสามารถของแต่ละบุคคล และเนื่องจากผู้สอนเห็นว่า ความผิดพลาดของผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ข้อผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ผู้สอนจึงควรใช้ข้อผิดพลาดนั้นเป็นพื้นฐานในการตัดสินว่า บทเรียนต่อไปควรจะเป็นอย่างไรและพยายามให้ผู้เรียนแก้ไขก็ผิดเหล่านั้นด้วยตนเอง โดยให้หัดฟังเปรียบเทียบสิ่งที่ตนพูดกับบรรทัดฐานภายในที่ตนเองพัฒนาขึ้น เมื่อผู้เรียนไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเองแล้วผู้สอนจึงจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องในที่สุด

        การออกแบบการเรียนการสอนจะให้นักเรียนรู้จักโครงสร้างของภาษาและคำ จุดสำคัญของวิธีนี้คือครูจะเงียบซึ่งโดยปกติแล้ว ครูจะแนะนำศัพท์หรือประโยคใหม่แล้วให้ผู้เรียนฝึกร่วมกัน โดยที่ครูไม่เข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาดเพราะมีความเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญถ้าผู้เรียนรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร และรับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่จะส่งผลต่อการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน

วิดีโอศึกษาเพิ่มเติม
 

The Audio - Lingual Method

วิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method )

       วิธีสอนแบบฟัง-พูด เป็นวิธีการสอนตามหลัก ภาษาศาสตร์ และวิธีการสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน สอนครบองค์ประกอบตามลำดับจากง่ายไปหายาก

หลักของวิธีนี้ มีอยู่ว่า
     
     1. สื่อบทสนทนา
     2. การท่องจำ การเลียนแบบ และ overleaening
     3. การวิเคราะห์โครงสร้างของประโยคก่อนนำมาสอน
     4. สอนโครงสร้างไวยากรณ์ และการฝึกแบบซ้ำๆ
     5. จะมีการอธิบายไวยากรณ์เพียงเล็กน้อย และจะสอนไวยากรณ์ ในรูปแแบบ Inductive
     6. เรียนคำศัพท์ที่จำเป็นต้องนำไปใช้เท่านั้น
     7. ฝึกการออกเสียงให้ถูกต้อง
     8. ใช้ภาษาแม่เพียงเล็กน้อย
     9. ใช้สือการสอนภาษาที่หลากหลาย
     10. มีการเสริมแรงต่อผู้เรียนที่รวดเร็ว

ขั้นตอนการสอน
  • นักเรียนฟังบทสนทนา
  • ฝึกฝนการใช้ประโยค
  • ฝึกฝนบทสนทนา พร้อมกันทั้งชั้น, เป็นกลุ่ม, รายบุคล
  • ปรับเปลี่ยนใส่ข้อมูลของตนเองในบทสนทนา
เทคนิคการสอน
     1. จำบทสนทนา
     2. Backward Built-up Drill
     3. Repetition drill (การฝึกแบบซ้ำๆ)
     4. การฝึกโครงสร้างประโยดเดิม แล้วถามเพื่อนต่อไปเรื่อย ๆ
     5. ฝึกเปลี่ยนคำในประโยคแค่คำเดียว
     6. ฝึกเปลี่ยนคำในประโยคหลายคำ
     7. ฝึกเปลี่ยนประโยคเป็นประโยคคำถาม บอกเล่า ปฏิเสธ
     8. ฝึกการถาม-ตอบ
     9. ฝึกการออกเสียง
    10. เติมคำในช่องว่าง / ทำบทสทนาให้สมบูรณ์
    11.Grammar Game

วีดีโอตัวอย่างจะได้เข้าใจวิธีการสอนมากยิ่งขึ้น


The Direct Method

วิธีสอนแบบตรง (Direct Method)

         เป็นวิธีการสอนที่เน้นทักษะการฟัง และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียน โดยมีความเชื่อว่า เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็จะสามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น ไม่เน้นไวยากรณ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการสนทนา นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่

หลักการของวิธีนี้มีอยู่ว่า

     1. การเรียนการสอนจะใช้ภาษาเป้าหมายเท่านั้น
     2. เน้นคำศัพท์และประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
     3. สอนแกรมม่า แบบ Inductive
     4. ใช้ oral communication skill ในการถาม ตอบ แลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่างครู และ นักเรียน
     5. ใช้การสอนแบบอธิบาย
     6. สอนคำศัพท์ แบบทำให้เห็นภาพ อาจใช้การสาธิต สิ่งของ รูปภาพ มาประกอบ
     7. สอนฟัง และพูด
     8. เน้นการออกเสียง และแกรมม่า ให้ถูกต้อง
ขั้นตอนการสอน
  • ฟัง และ อ่าน
  • สอนคำศัพท์
  • ฝึกการออกเสียง
  • ถามคำถาม เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ
  • สอนแกรมม่า
  • ทำแบบฝึกหัด
เทคนิคการสอน
  • การอ่านออกเสียง
  • ฝึกถามตอบ
  • ให้นักเรียนแก้ไขข้อผิดพลาด
  • แบบฝึกสนทนา
  • แบบฝึกเติมคำในช่องว่าง
  • คำสั่ง
  • วาดแผนผัง
  • เขียน Paragraph
วิดีโอศึกษาเพิ่มเติมสำหรับวิธีสอนแบบ Direct Method


The Grammar - Translation Method


วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล ( Grammar Translation )

       วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล เป็นวิธีการสอนที่เน้นกฎไวยากรณ์และใช้การแปลเป็นสื่อให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน

หลักของวิธีนี้มีอยู่ว่า 
  • เป้าหมายของการเรียนคืออ่านออกเขียนได้ สามารถแปลประโยคเป็นภาษาเป้าหมายได้ 
  • เน้นการอ่านและเขียนเป็นหลัก ( ไม่เน้นฟังและพูด) 
  • ท่องจำคำศัพท์ 
  • เรียนหลักไวยากรณ์ 
  • เน้นความถูกต้อง 
  • สอนไวยากรณ์แบบ Deductive 
  • ใช้ภาษาแม่ในการสอน 

ขั้นตอนการสอน
     1. สอนคำศัพท์

     2. เรียนโครงสร้างไวยากรณ์ และ แบบฝึกหัด

     3. อ่าน และตอบคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ

     4. ตรวจการบ้าน, ทบทวน, เขียนประโยค และแปลประโยค

เทคนิคการสอน
  • แปลบทวรรณกรรม 
  • อ่านและตอบคำถาม 
  • คำศัพท์ เหมือน และ ต่าง 
  • การสอนแบบ deductive 
  • เติมคำในช่องว่าง 
  • ท่องจำคำศัพท์ 
  • แต่งประโยค 
  • เขียนความเรียง

วิดีโอสาธิตการสอนแบบ Grammar Translation Method

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

ประวัติการสอนภาษาโดยย่อ


         A BRIEF HISTORY OF LANGUAGE TEACHING
       
         การสอนภาษาเริ่มต้นจากการสอนภาษาละติน เมื่อ 500 ปีมาแล้ว ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ภาษาละตินก็ถูกแทนที่ด้วยภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งการสอนเริ่มแรกนั้นจะเน้นการท่องจำเนื้อหา และโครงสร้างเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า Grammar school's ภาษาที่ใช้ในการสอนก็จะเป็นภาษาละติน หรือภาษาแม่ของผู้เรียน

      Grammar translation method ก็จะเน้นการเรียนหลักไวยากรณ์ เน้นการแปล อ่าน และเขียน ท่องจำคำศัพท์ ใช้การสอนแบบ deductive (ครูจะบอกโครงสร้างก่อน แล้วตามด้วยตัวอย่าง ) การสอนก็จะใช้ภาษาแม่ของนักเรียน

      ในยุคต่อมาคือยุคก่อนการปฎิรูป ( Pre-reform movement )
  •  The French man C. Marcel <1973-1896>จะสอนภาษาแม่ของนักเรียนเชื่อมต่อกับภาษาเป้าหมาย เน้นทักษะการอ่าน
  • The Englishman T. Prendergast <1806-1880>  ได้ทำการสังเกตและบันทึกนักเรียน พบว่า เด็กใช้บริบทและสถานการณ์ เข้ามาช่วยในการจำ
  • The Frenchman F. Gouin < 1831-1896>  Gouin Series  คือ การสอนสิ่งใหม่ในบริบท ใช้ท่าทางเข้ามาช่วย ไม่มีการแปล ไม่อธิบายแกรมม่า เน้นความเชื่อมโยงของประโยคต่าง ๆ
       หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุดปฎิรูป ( The reform movement )
  • Henry Sweet < 1845-1912 > : The Practical Study of Languages.
            เน้นการพูด ฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง ใช้ Conversation and Dialogues สอนแกรมม่าแบบ Inductive( สอนตัวอย่าง ตามด้วนโครงสร้าง ) เชื่อมโยงกับภาษาเป้าหมาย สอนจากง่ายมายาก สอนทุกทุกทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน   เริ่่มมี IPA หรือ  International Phonetic Alphabet
  • Wilhelm Vietor <1850-1918> : Languages Teaching Must Start Afresh.
นักปฏิรูปเชื่อกันว่า

  1. ภาษาพูดเป็นภาษาหลัก
  2. การออกเสียงในการสอนและการฝึกอบรมครู
  3. ผู้เรียนควรจะเรียนรู้การฟังก่อนที่จะได้เห็นภาษาในรูปแบบของการเขียน
  4. คำที่นำเสนอในประโยคและฝึกความหมายในบริบทที่ไม่โดดเดี่ยว
  5. สอนไวยากรณ์โดยวิธีอุปนัย
  6. หลีกเลี่ยงการแปลแม้ว่าภาษาแม่จะสามารถนำมาใช้เพื่ออธิบายคำศัพท์ใหม่หรือตรวจสอบความเข้าใจ