วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

Cooperative Learning

Cooperative Learning (การเรียนรู้แบบร่วมมือ)

         การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งสมาชิกต้องเข้าใจในกระบวนการการทำงานในลักษณะเผชิญหน้า เป็นการเน้นการปฏิบัติงานให้มีความสำเร็จในกลุ่มย่อย

หลักการ
  1. ให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม
  2. ผู้เรียนต้องอยู่กลุ่มเดิมสักระยะหนึ่ง
  3. ความพยายามของแต่ละบุคคลในการช่วยเหลือไม่เพียงแต่ตัวบุคคลนั้นที่จะได้รับผลตอบแทน แต่บุคคลอื่น ๆ ในชั้นยังได้รับด้วย
  4. ต้องมีการสอนเรื่องทักษะทางสังคม
  5. การเรียนภาษาจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนใช้ภาษาเป้าหมาย
  6. ผู้เรียนต้องรับผิดชอบงานของตนเอง
  7. มีการแลกเปลี่ยนความรู้ภายในกลุ่ม
  8. สมาชิกทุกคนภายในกลุ่มจะถูกกระตุ้นให้มีความรับผิดชอบ และส่งเสริมภาวะการเป็นผู้นำ
  9. ครูไม่เพียงแต่จะสอนภาษา แต่ยังสอนเรื่องการทำงานร่วมกันด้วย
วิดีโอสำหรับศึกษาเพิ่มเติมค่ะ


Task-Based Instruction

       Task-Based Instruction คือ การสอนโดยผ่านกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยงาน มีจุดประสงค์ที่ให้ผู้เรียนเกิดแนวคิด ทักษะ และทำความเข้าใจร่วมกันในกลุ่ม และสื่อออกมาในลักษณะภาษาของผู้เรียนเอง ถ้าผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ใหม่ขึ้น ถือว่าประสบความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้

หลักการ

  1. งานที่ทำต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน
  2. ก่อนทำชิ้นงานจริงต้องมีการซ้อมก่อน
  3. ครูควรจะแยกขั้นตอนในการทำงานให้ชัดเจน
  4. หาวิธีการที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำงานให้สำเร็จ
  5. ครูจะสอนโดยใช้ภาษาใดก็ได้
  6. ครูช่วยผู้เรียนโดยการบอกภาษาที่ถูกต้อง
  7. มีการใช้ jigsaw task ในการสอน
  8. นักเรียนควรได้รับรู้ถึงความสำเร็จในการทำงาน
  9. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ออกแบบงานด้วยตนเอง


วิดีโอเพิ่มเติม


Content - Based Instruction

 วิธีสอนภาษาที่เน้นเนื้อหา (Content Based Instruction)

       วิธีสอนภาษาที่เน้นเนื้อหา คือ การเรียนการสอนแบบอิงเนื้อหา และทฤษฎีที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เป็น การสอนแบบ CBI นั้นเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษามากกว่าในมหาวิทยาลัย เนื่องจากทฤษฎีนี้จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากเนื้อหาที่เรียน รวมทั้งฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จักแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ฉะนั้นการเรียนการสอนวิธีนี้จึงเหมาะสมกับการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษามากที่สุด

หลักการ
  1. เนื้อหาวิชาต่างๆ จะถูกใช้เพื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษด้วย
  2. ใช้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
  3. เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมเพื่อเป็นการกระตุ้นเด็ก
  4. เริ่มจากสิ่งง่ายๆ แล้วค่อยเพิ่มความยาก
  5. การเรียนภาษาจะเรียนได้ดี เมื่อถูกใช้เป็นสื่่อกลางในการแลกเปลี่ยนเนื้อหา
  6. เน้นการเรียนคำศัพท์ในบริบท
  7. ถ้าผู้เรียนได้เรียนจากเรื่องจริง จะทำให้ใช้ภาษาได้ดีขึ้น
  8. ผู้เรียนจะเรียนรู้ภาษาและเนื้อหาในบริบทของวัสดุและงานแท้ๆ
  9. ความสามารถในภาษาจะรวมทั้งความสามารถในการอ่าน, การอภิปราย และการเขียนจากเนื้อหาอื่นๆ
วิดีโอศึกษาเพิ่มเติม


Communicative language Teaching

       การสอนภาษาแบบสื่่อสาร (Communicative Language Teaching - CLT) 
     
        การสอนภาษาตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร เป็นการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้ ซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญของตัวผู้เรียนจัดลำดับการเรียนรู้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน โดยเริ่มจากการฟังไปสู่การพูด การอ่าน การจับใจความสำคัญ ทำความเข้าใจ จดจำแล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้  มีการจัดกิจกรรมที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย ได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์ที่มีโอกาสพบได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยยังคงให้ความสำคัญกับโครงสร้างไวยากรณ์

ขั้นตอนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
  1. ขั้นการนำเสนอเนื้อหา (Presentation) ในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ การนำเสนอเนื้อหาใหม่ จัดเป็นขั้นการสอนที่สำคัญขั้นหนึ่ง ในขั้นนี้ครูจะให้ข้อมูลทางภาษาแก่ผู้เรียน ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้ มีการนำเสนอเนื้อหาใหม่ โดยจะมุ่งเน้นการให้ผู้เรียนได้รับรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและรูปแบบภาษาที่ใช้กันจริงโดยทั่วไป
  2. ขั้นการฝึกปฏิบัติ (Practice) เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาที่เพิ่งจะเรียนรู้ใหม่จากขั้นการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะของการฝึกแบบควบคุมหรือชี้นำ โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้นำในการฝึกไปสู่การฝึกแบบค่อยๆปล่อยให้ทำเองมากขึ้น เป็นแบบกึ่งควบคุม
  3. ขั้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Production) ขั้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร นับเป็นขั้นที่สุดขั้นหนึ่ง เพราะการฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารเปรียบเสมือนการถ่ายโอนการเรียนรู้ภาษาจากสถานการณ์ในชั้นเรียนไปสู่การนำภาษาไปใช้จริงนอกชั้นเรียน การฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารโดยทั่วไป มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้
แบบฝึกปฏิบัติของวิธีสอนแบบ CLT
  1. Mechanical practice  เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องมีความเข้าใจในเรื่่องของภาษา
  2. Meaningful practice เป็นกิจกรรมที่มีการควบคุมตัวภาษา นักเรียนต้องเลือกทางเลือกที่ถูกต้องเพื่อมาใช้ในการเรียนภาษา
  3. Communicative practice เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ภาษาในบริบทที่มีการสนทนาจริง
กิจกรรมที่ใช้ในการสอน
  1. Information Gap Activities เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนทำเป็นคู่หรือกลุ่ม มีการพูดแลกเปลี่ยนข้อมูล    ซึ่่งกันและกันเพื่อให้ได้งานปฏิบัติที่สมบูรณ์
  2. Jigsaw Activities  ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน
  3. Accuracy and Fluency activities เป็นกิจกรรมการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้องและความคล่องแคล่ว
     วิดีโอศึกษาเพิ่มเติม


  

Community Language Learning - CLL


วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (community language learning - CLL) 

       การสอนแบบนี้คิดขึ้นใน ปี 1970 โดย Charles A. Curran ศาตราจารย์สาขาจิตวิทยาแนะแนวแห่งมหาวิทยาลัยLoyola, Chicago Curran ประยุกต์แนวคิดนี้มาจากเทคนิคการแนะแนวครูจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา และพยายามที่จะคอยสนองความต้องการในการใช้ภาษาของผู้เรียนเหมือนกับผู้เรียนเป็นผู้มารับคำปรึกษา บรรยากาศในห้องเรียนจัดเหมือนกับชุมชน (community) เน้นให้ทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กระบวนการเรียนภาษาจะเปรียบเหมือนกับการเจริญเติบโตของมนุษย์เริ่มจากทารกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งถึงขึ้นที่เป็นอิสระหรือเป็นผู้ใหญ่การช่วยเหลือแต่ละขั้นของครูจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เรียน
       การสอนแบบนี้ส่วนมากจะไม่มีแผนการเรียนที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เรียน โดยปกติแล้วการเรียนการสอนครูจะให้ผู้เรียนพูดแสดงความรู้สึกเป็นภาษาของผู้เรียน แล้วครูจะแปลหรือตีความที่นักเรียนพูดให้ทั้งชั้นฟังบรรยากาศชั้นเรียนจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนภาษา และเกี่ยวกับบทเรียนที่เรียน

หลักการสอนวิธีนี้มีดังนี้
  • การแปล (translation) ผู้เรียนนั่งเป็นวงกลม ผู้เรียนพูดข้อความที่ต้องการจะแสดงความคิดหรือความรู้สึก ผู้สอนแปล ข้อความนั้นผู้เรียนพูดตามผู้สอน 
  • การทำงานกลุ่ม (group work) บางครั้งผู้สอนจะให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มมีการกำหนดหัวข้อแล้วร่วมกันอภิปรายช่วยกันเตรียมบทสนทนา เตรียมเรื่องที่จะพูดหน้าชั้น เป็นต้น 
  • การบันทึกเสียง (recording) นักเรียนจะบันทึกเสียงของคนในขณะที่พูดภาษาเป้าหมาย
  • ถอดความ (transcription) นักเรียนถอดคำพูดหรือบทสนทนาที่บันทึกไว้ สำหรับฝึกและวิเคราะห์โครงสร้างภาษา 
  • วิเคราะห์ (analysis) นักเรียนศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างภาษาความหมายของคำวลีประโยค ที่ถอดจากเทป 
  • สะท้อนกลับ/ตั้งข้อสังเกต (reflection/observation) ผู้เรียนรายงานความรู้สึกและประสบการณ์และอื่น ๆ 
  • การฟัง (listening) นักเรียนฟังครูอ่านบทสนทนา 
  • สนทนาอย่างอิสระ (free conversation) นักเรียนสนทนากับครูกับเพื่อน อาจเป็นการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และอื่น ๆ
เทคนิคการสอน
  • บันทึกบทสนทนาของนักเรียน
  • ถอดความบทสนทนา
  • สะท้อนเนื้อหาและประสบการณ์
  • กระตุ้นให้เกิดการฟัง
  • ครูช่วยผู้เรียนโดยการย้ำบ่อยๆ
  • ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย

วิดีโอแสดงวิธีสอนแบบ CLL








Total Physical Response (TPR)

วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ( Total Physical Response Method ) 

         การสอนภาษาโดยการใช้ท่าทาง โดยให้ผู้เรียนฟังคำสั่งจากครูแล้วผู้เรียนทำตาม เป็นการประสานการฟังกับการใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นการตอบรับให้ทำตามโดยผู้เรียนไม่ต้องพูด  แนวการสอนแบบนี้ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี

Main Characteristics :

    1. ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ "กำกับ" และผู้เรียนจะทำหน้าที่เป็นผู้ "แสดง"
    2. เน้นทักษะการฟังและท่าทาง
    3. ใช้ประโยคคำสั่ง และคำถาม
    4. ในระหว่างการเรียนครูจะต้องสร้างบรรยากาศใหเสนุกสนาน อาจจะมีมุขตลก ขำๆ
    5. นักเรียนจะไม่ถูกบังคับให้พูดหากยังไม่พร้อม
    6. เน้น ไวยากรณ์ คำศัพท์ และ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร

Teaching Steps:

    1. ครูจะออกคำสั่งเป็นภาษาเป้าหมาย และแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
    2. หาอาสาสมัคร มาแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
    3. ครูให้คำสั่งใหม่ ๆ
    4. ครูออกคำสั่งใหม่ที่ผู้เรียนไม่เคยได้ยินมาก่อน
    5. ครูเขียนคำสั่งนั้นบนกระดาน

 Teaching Techniques:

    1. ใช้คำสั่ง และแสดงตัวอย่างให้ดู
    2. สลับบทบาท
    3. คำสั่งที่ใช้ต้องมีลำดับขั้นตอน

วิดีโอสำหรับศึกษาเพิ่มเติม




Desuggestopedia


การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) 

         การสอนแบบชักชวนพัฒนาขึ้นมา โดยนักจิตวิทยาการศึกษาชาวบูลกาเรีย ชื่อ Georgi Lozanov วิธีสอนนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าสมองซีกกขวาของมนุษย์พัฒนาได้ดีจากการใช้เทคนิค "ชักชวน" (suggestion) ดังนั้นsuggestopedia จึงเป็นวิธีที่ครูต้องมีทักษะ ในการร้องเพลงแสดงท่าทาง และรู้เทคนิคการบำบัดทางจิตวิทยา (psychotherapeutic techniques) วิธีการสอนจะใช้เทคนิคการออกกำลังกาย เพื่อขจัดความวิตกกังวลที่เป็นเหตุให้สะกัดกั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนกิจกรรมต่างๆดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ดนตรี รูปภาพ (visual image) บทสนทนาต่าง ๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ภายใต้บรรยากาศที่สบายไม่เป็นทางการไม่มีการแก้ไข ข้อผิดพลาดของผู้เรียน
        วิธีสอนแบบนี้เน้นกิจกรรมการฟัง ซึ่งก็คือ ผู้สอนจะใช้ภาษาสนทนา ที่มีคำแปลเป็นภาษาถิ่นรวมทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์จากบทสนทนาไว้ด้านหนึ่งด้วย ผู้สอนจะอ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟัง 3 ครั้ง ในครั้งแรก ผู้เรียนฟังบทสนทนาที่ครูอ่านให้ฟังโดยอ่านคำแปลไปด้วย ในการอ่านครั้งที่สองผู้เรียนอาจดูบทเรียนไปด้วย และจดรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ในการอ่านครั้งที่สามนั้น ผู้อ่านจะเปิดเพลงคลาสสิกไปพร้อม ๆ กัน ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้วางหนังสือ และเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย จะหลับตาฟัง หรือจะหยิบบทเรียนขึ้นมาอ่านตามก็ได้ ในขั้นต่อไปอาจให้ผู้เรียนเล่นเกมทางภาษา การเล่นละครสั้น การร้องเพลง การถามตอบเพื่อให้ภาษาในการสื่อสารการจัดกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มผู้เรียนจะไม่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นรายบุคคลกิจกรรมทุกกิจกรรมต้องเสริมให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และรู้สึกว่าไม่ถูกบังคับให้ทำในระยะเริ่มแรกผู้สอนจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดทันที แต่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาสอนในวันต่อไป

วิดีโอแสดงตัวอย่างการสอน